ความจริงปรากฎ เปิดหมดหัวใจ! ตร.พิษณุโลก 'กระทืบ นศ.' ความจริงตรงหน้า ที่ต้องแบกรับ
"ชีวิตตำรวจชั้นผู้น้อยคนหนึ่ง ไม่มีอะไรภาคภูมิใจได้มากกว่าการเป็นตำรวจ ในขณะเดียวกัน ไม่มีอะไรสูญเสียและเสียใจที่สุดในชีวิตมากกว่าการถูกออกจากราชการ โดยเฉพาะผู้หมวด ผู้กอง เป็นคนมีฝีมือ ทำประโยชน์ได้อีกมาก "
วงการสีกากียังมีเรื่องร้อนฉ่ามาให้เป็นข่าวใหญ่ครึกโครมอยู่เป็นช่วงๆ ไม่เว้นระยะ ล่าสุด 3 ตำรวจหนุ่ม ขับเก๋งไล่ยิงรถนักศึกษาในตัวเมืองจังหวัดพิษณุโลก ต้อนจนมุมก่อนลากตัวลงจากรถซ้อม-ทำร้ายร่างกายตามภาพที่ปรากฏจากกล้องติดหน้ารถของพลเมืองดี ขณะที่ 3 ตำรวจหนุ่มออกมาชี้แจงโต้กลับกลุ่ม 5 นักศึกษาคู่กรณี พูดไม่หมด เพราะมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ต้องขุดออกมาสู้ความจริงตามกระบวนการยุติธรรมกันต่อไป
ระหว่างที่คู่กรณีงัดหลักฐานตอบโต้กันแบบหมัดต่อหมัด ประชาชนที่เสพข่าวติดตามเรื่องราวทั้งหมด ได้ออกตัวเชียร์ฝ่ายนักศึกษากันอย่างล้นหลาม เพราะหลักฐานปรากฏชัด เจ้าหน้าที่ตำรวจรังแกประชาชน เบื้องต้นผู้บังคับบัญชาสั่งให้ 3 ตำรวจพิษณุโลก ออกจากราชการโดยทันที
'กองบรรณาธิการไทยรัฐออนไลน์' ได้มีโอกาสพูดคุยกับ ส.ต.อ.สุบิน นุชขำ ผบ.หมู่ กก.สส.ภ.จ.พิษณุโลก ที่ออกตัวว่า เป็นคนลงมือทำร้ายร่างกายนักศึกษาแต่เพียงผู้เดียว ส่วน ร.ต.ท.ธนาคาร ชัยพิพัฒน์ และ ร.ต.อ.วุฒิภัทร บัวอุไร ตำรวจสังกัดกลุ่มงานสืบสวน ภ.จ.พิษณุโลก เป็นเพียงผู้อยู่ในเหตุการณ์ กระทั่งตัว ส.ต.อ.สุบิน เองก็ได้ออกมาแถลงข่าวชี้แจงต่อหน้าสื่อมวลชนถึงข้อเท็จจริงไปแล้วเมื่อวันที่ 29 มี.ค. 59 ที่ผ่านมานั้น ในวันนี้จะขอมาเปิดใจถึงความรู้สึกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่ 'ไทยรัฐออนไลน์' ที่เดียว
ส.ต.อ.สุบิน นุชขำ อดีต ผบ.หมู่ กก.สส.ภ.จ.พิษณุโลก เปิดเผยว่า ก่อนอื่นตนเองต้องขออนุญาตไม่พูดถึงรายละเอียดที่ลงลึกไปในทางคดี เพราะทุกอย่างอยู่ในกระบวนการยุติธรรม วันนี้ที่ตนเองยอมออกมาเปิดใจกับทาง 'ไทยรัฐออนไลน์' ไม่ได้หวังว่าสังคมจะเข้าใจ หรือ เห็นใจ เพียงแค่อยากออกมาแสดงความบริสุทธิ์ใจและปกป้องความรู้สึกคนในครอบครัว ซึ่งขณะนี่ทุกคนรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากกับการกระทำที่เกิดขึ้น รวมถึงครอบครัวของ 2 นายตำรวจที่นั่งรถไปด้วยกันในวันเกิดเหตุ คุณแม่ของเขาต้องล้มป่วยลงเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
"โดยพื้นเพผมเองเป็นคนจนครับ ครอบครัวฐานะทางบ้านถึงขั้นจนมากเลยก็ว่าได้ ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงตัวเองส่งตัวเองเรียนหนังสือจนกระทั่งมาสอบเป็นตำรวจได้ ท่ามกลางความภาคภูมิใจของแม่และพี่น้อง ผมเหมือนเป็นเสาหลักของบ้าน ดูแลทุกๆ คน เพราะแม่ของผมไม่ได้มีการศึกษาอะไร เขียนหนังสือไม่ได้ อ่านไม่ออก พอผมมาสอบติดเป็นตำรวจก็ดีใจมากๆ ทั้งตระกูลมีเพียงแค่ผมคนเดียวที่ได้รับราชการ และหวังจะเติบโตในอาชีพตำรวจไปจนหมดอายุไข" ส.ต.อ.สุบิน กล่าวทั้งน้ำตา
ส.ต.อ.สุบิน กล่าวต่อว่า ถึงแม้ตนเองจะรับราชการตำรวจมาได้เพียงไม่กี่ปี แต่ที่ผ่านมาไม่เคยมีเรื่องให้ต้องเสื่อมเสียกับวงการสีกากี พยายามทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม สร้างความภาคภูมิใจให้แก่วงศ์ตระกูล กระทั่งมาเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ขึ้น
"ถ้าผมจะพูดว่า ผมไม่ได้ตั้งใจ เหตุการณ์มันไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นทั้งหมด ก็เหมือนว่าผมออกมาแก้ตัว สังคมก็ต้องประณามผมอยู่ดี ผมขอพูดเพียงแค่ว่า 'หากย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะไม่ใจร้อนและทำเรื่องราวให้บานปลายใหญ่โต' แต่ผมย้อนเวลากลับไปไม่ได้ครับ และคงไม่ขอให้ใครมาสงสารผม ขอแค่เปิดรับฟังข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ลองมองแบบเป็นกลาง อย่าเพิ่งซ้ำเติมพวกผมเพียงเพราะการกระทำจากกล้องวงจรปิดติดหน้ารถพยาน อยากให้พิจารณาคำชี้แจงของผมผ่านสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 29 มีนาคม ที่ผ่านมา แบบไม่มีอคติด้วยครับ" ส.ต.อ.สุบิน กล่าว
ส.ต.อ.สุบิน กล่าวต่อว่า ชีวิตตำรวจชั้นผู้น้อยคนนึง ไม่มีอะไรภาคภูมิใจได้มากกว่าการเป็นตำรวจ ในขณะเดียวกัน ไม่มีอะไรสูญเสียที่สุดในชีวิตมากกว่าการถูกออกจากราชการ ถึงแม้ตนเองเหมือนสูญเสียสิ่งที่รักที่สุดในชีวิตไปแล้ว ขณะที่อายุเพียงแค่ 28 ปี แต่ตนเองก็ไม่รู้สึกสิ้นหวังที่จะมีลมหายใจอยู่ต่อไป มี 2 มือ 2 เท้า เหมือนคนอื่นๆ ก็คงกลับไปช่วยครอบครัวทำไร่ทำสวนที่บ้านนอก หาเลี้ยงแม่และลูกเมียต่อไป
"ตัวผมเองและตำรวจอีก 2 นายเสียใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น ผมต้องชวนนายตำรวจอีก 2 คนมานอนที่แฟลตโรงพัก เพราะกลัวพวกเขาจะคิดมาก อยากให้อยู่รวมตัวกัน อยากให้เข้มแข็งและไม่คิดสั้นคนทั่วไปที่ด่ากราดพวกผมผ่านโซเชียล พวกผมไม่โกรธนะครับ แต่พวกผมกอดคอกันร้องไห้เสียน้ำตา โดยเฉพาะตัวผมเองที่เป็นเหมือนต้นเหตุทำให้ทุกอย่างบานปลาย อารมณ์ชั่ววูบ ใจร้อน หากผมใจเย็นสักนิด ตำรวจอีก 2 นายคงไม่โดนออกจากราชการไปด้วย" ส.ต.อ.สุบิน กล่าว
ส.ต.อ.สุบิน กล่าวด้วยน้ำตาคลอว่า ร.ต.ท.ธนาคาร ชัยพิพัฒน์ และ ร.ต.อ.วุฒิภัทร บัวอุไร เป็นนายตำรวจที่มีอนาคตไกล มีไหวพริบในการทำงานดี และยังเป็นกำลังหลักของสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ไปอีกนาน ตนเองไม่อยากให้ 2 นายตำรวจ ต้องมาโดนออกจากราชการ หมดอนาคตในหน้าที่การงาน แต่ก็คงไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรกับผู้บังคับบัญชา เพราะเหตุทั้งหมดมันเกิดขึ้นแล้ว เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แต่หากมันยังแก้ไขได้ ตนเองก็พร้อมทำทุกทางเพื่อให้ 2 นายตำรวจกลับไปรับราชการ
"ตัวผมเองไม่ขออะไรมาก ขอแค่ต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม ขอให้กระบวนการยุติธรรมมีความกรุณา ขอให้ประชาชนมองทุกอย่างแบบเป็นกลาง ตัวผมหากแม้จะไม่ได้กลับไปเป็นตำรวจอีกแล้วตลอดทั้งชีวิตนี้ ผมก็ภาคภูมิใจที่ครั้งหนึ่งผมเคยเป็นตำรวจ และจะขอนำข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นไปต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม เพื่อพิสูจน์ตัวเองกับสังคม ที่สำคัญที่สุดผมจะตั้งใจดูแลครอบครัวแบบนี้ต่อไป" ส.ต.อ.สุบิน กล่าว
นอกจากนี้ ส.ต.อ.สุบิน ยังกล่าวทิ้งท้ายกับทาง 'ไทยรัฐออนไลน์' ด้วยว่า "ผมกราบขอโทษผู้บังคับบัญชา เพื่อนตำรวจทุกๆ นาย รวมไปถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผมยังรักอาชีพตำรวจเสมอ ถ้าชาติหน้ามีจริง ผมก็จะเกิดมาเพื่อเป็นตำรวจที่ดีกว่าชาตินี้ ฝากไปถึงประชาชนทุกคนว่าอย่าได้เหมารวมว่าตำรวจแย่ไปเสียหมด เพราะทุกอาชีพมีทั้งดีและไม่ดี เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตผม ต้องจดจำไปสอนลูกสอนหลานเรื่องการระงับอารมณ์บันดาลโทสะ จนทำให้ต้องจบอนาคตข้าราชการตำรวจที่ใฝ่ฝัน" ส.ต.อ.สุบิน กล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำตา
ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องราวจากความรู้สึกของ ส.ต.อ.สุบิน นุชขำ อดีต ผบ.หมู่ กก.สส.ภ.จ.พิษณุโลก ที่ต้องการจะสื่อสารให้ผู้บังคับบัญชา เพื่อนๆ ตำรวจ รวมไปถึงประชาชนทั่วประเทศได้รับรู้ ส่วนจะเข้าใจ หรือเห็นใจสงสารหรือไม่นั้น เป็นสิ่งที่ ส.ต.อ.สุบิน ไม่เคยคาดหวัง ขอแค่ได้รับรู้ในสิ่งที่ตัวเขาอยากจะบอกผ่าน "ไทยรัฐออนไลน์" ที่นี่ ที่เดียว.
ความจริงปรากฎ เปิดหมดหัวใจ! ตร.พิษณุโลก 'กระทืบ นศ.' ความจริงตรงหน้า ที่ต้องแบกรับ
Reviewed by Darastation
on
เมษายน 02, 2559
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น