หยุดที เลิกเกี่ยง! แพรวา ยอมแล้ว ร่วมมือกรมคุมประพฤติ เหลือบริการสังคม 48 ชม.

ท่ามกลางความมึน งง ชวน ฉงน สงสัย เป็นไปได้อย่างไรกัน ที่ จู่ๆ อนงค์นวลน้อยผู้หนึ่ง จึงไปทำงานบริการสังคม โดยที่กรมคุมประพฤติไม่ทราบเรื่อง จนกลายเป็นเรื่องวิพากษ์วิจารณ์เผ็ดร้อนในวงสังคม ราวกับไฟลามทุ่ง พร้อมกับตั้งข้อสังเกตไปที่ สาวน้อยผู้นี้ว่า เธอ ได้ไปทำงานบริการสังคมจริง... เหมือนดังที่เธอกล่าวอ้างหรือไม่?

ในวันนี้ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะขอพาแฟนๆ ไทยรัฐออนไลน์ทุกท่าน ไปอัพเดต เรื่องที่เกิดขึ้น เพื่อคลายชนวน ชวนสงสัย ในเรื่องนี้กัน...

ผู้ถูกคุมประพฤติมีหนังสือรับรองจากทางรพ.พระมงกุฎเกล้า และได้ให้ทนายไปยื่นต่อศาลเองโดยไม่ได้ประสานกรมคุมประพฤติ

ยอมแล้ว! แพรวา ยื่นความประสงค์ ให้ความร่วมมือกรมคุมประพฤติทุกประการ!

พ.ต.อ.ดร.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมคุมประพฤติ ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ที่ น.ส.แพรวา ระบุว่า โดนลวนลามนั้น เป็นความเข้าใจผิด ซึ่ง น.ส.แพรวา ได้ร้องเรียนในลักษณะที่โดนเจ้าหน้าที่ของกรมฯ ข่มขู่ เพราะเกิดความไม่เข้าใจในอำนาจหน้าที่ของกรมฯ เท่านั้น และ น.ส.แพรวา ไม่เข้าใจว่า รพ.พระมงกุฎเกล้า ที่ได้ไปทำงานบริการสังคมก็เป็นโรงพยาบาลของรัฐที่น่าเชื่อถือ ทำไม น.ส.แพรวา จึงทำงานบริการสังคมไม่ได้เท่านั้นเอง

กระทั่ง วานนี้ 28 มี.ค.59 น.ส.แพรวา และพ่อได้เดินทางเข้ามาพบ พร้อมยื่นความประสงค์ที่จะขอทำงานบริการสังคมตามคำสั่งศาลที่เหลืออีก 48 ชั่วโมง แต่ขอทำที่ รพ.พระมงกุฎเกล้า ซึ่งทางกรมคุมประพฤติ ก็ไม่ได้ขัดข้องในเรื่องนี้ แต่ต้องมีเอกสารส่งตัวตามระเบียบปฏิบัติ

ทั้งนี้ การดำเนินการต่างๆ กำลังอยู่ระหว่างที่ น.ส.แพรวา จะยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อแสดงความประสงค์ว่า จากที่เกิดเหตุการณ์ไม่เข้าใจกันกับกรมคุมประพฤตินั้น ปัจจุบันได้เข้าใจกันแล้ว และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือทุกประการตามคำพิพากษาของศาล และขึ้นอยู่กับว่าศาลจะอนุญาตหรือไม่ หากศาลอนุญาตให้ทำงานบริการต่อไป ทางกรมฯ ก็พร้อมที่จะติดต่อทางรพ.พระมงกุฎเกล้า เพื่อทำหนังสือส่งตัว น.ส.แพรวา ไปทำงานบริการสังคม พร้อมกับส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปให้คำแนะนำ และตรวจสอบอย่างถูกต้องตามระเบียบด้วย

พ.ต.อ.ดร.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมคุมประพฤติ

จาก 144 ชม. เหลือ 48 ชม. ปฏิบัติงานช่วยสังคม

สำหรับระยะเวลาในการทำงานบริการนั้น พ.ต.อ.ดร.ณรัชต์ กล่าวว่า ระยะเวลาที่ต้องทำงานบริการสังคมของ น.ส.แพรวา มีทั้งหมด 144 ชั่วโมง และในช่วงแรกได้มีการบริจาคโลหิต ซึ่งตามระเบียบคิดเป็นจำนวน 6 ชั่วโมง เหลือ 138 ชั่วโมง ต่อมา น.ส.แพรวา ได้ทำงานบริการสังคมที่ รพ.พระมงกุฎเกล้า จำนวน 90 ชั่วโมง ซึ่งศาลรับไว้พิจารณา ดังนั้น น.ส.แพรวา จึงเหลือบริการสังคมอีก 48 ชั่วโมง โดยก่อนหน้านี้ ทางกรมฯ ได้เชิญ น.ส.แพรวา ไปแล้ว แต่ น.ส.แพรวา ไม่มา พร้อมอ้างว่า ติดพันต่อเนื่องที่จะต้องไปทำงานบริการสังคมที่ รพ.พระมงกุฎเกล้า และเกรงว่าหากออกมาพบกรมฯ จะทำให้ชั่วโมงที่ทำงาน ณ รพ.พระมงกุฎเกล้า ขาดหายไป

ทางกรมฯ จึงรายงานไปยังศาล โดยศาลระบุว่า วันที่ 21 มิ.ย. 59 จะนัดไปคุยกันอีกครั้งว่า ที่ น.ส.แพรวา ทำงานบริการสังคมใน รพ.พระมงกุฎเกล้านั้น ศาลเห็นชอบหรือไม่ และทำไมถึงขัดคำสั่ง แต่อย่างไรก็ตาม ต้องขอศาลให้สั่ง เพื่อให้เกิดความชัดเจนอีกครั้ง แต่ตัวของ น.ส.แพรวา เองไม่ได้มีเงื่อนไขหรือขัดข้องใดๆ และพร้อมที่จะทำงานให้ครบถ้วนตามเงื่อนไขทุกประการ

พ.ต.อ.ดร.ณรัชต์ กล่าวว่า ระยะเวลาที่ต้องทำงานบริการสังคมของ น.ส.แพรวา มีทั้งหมด 144 ชั่วโมง

น.ส.แพรวา ทำงานบริการครบ 90 ชั่วโมงจริงหรือ?

“พิสูจน์ได้อย่างไรว่า น.ส.แพรวา ทำงานบริการครบ 90 ชั่วโมงจริง?” ผู้สื่อข่าวถามคำถามข้างต้นกับ อธิบดีกรมคุมประพฤติ ซึ่งได้รับคำตอบว่า ผู้ถูกคุมประพฤติมีหนังสือรับรองจากทาง รพ.พระมงกุฎเกล้า และได้ให้ทนายไปยื่นต่อศาลเองโดยไม่ได้ประสานกรมคุมประพฤติ โดยส่วนตัวแล้ว ตนไม่ได้เห็นหนังสือรับรองฉบับดังกล่าว เนื่องจากกรมคุมประพฤติไม่มีอำนาจใดๆ ที่จะไปก้าวล่วง และไม่ควรก่อให้เกิดปัญหาที่จะทำให้มีข้อขัดแย้งระหว่างหน่วยงานราชการ

“ที่ผ่านมาเขาอาจทำงานบริการสังคมจริงๆ ก็ได้ เพราะมีเจ้าหน้าที่ในภาคส่วนต่างๆ เช่น แพทย์, รอง ผอ.โรงพยาบาลทำหน้าที่กำกับดูแลอยู่ ซึ่งผมไม่ได้มีข้อสงสัยว่า น.ส.แพรวาจะบำเพ็ญประโยชน์จริงหรือไม่ อย่างไร แต่ว่ากังวลในเรื่องของกระบวนการที่อาจไม่ถูกต้องนัก เพราะโดยปกติก่อนจะส่งตัวผู้ถูกคุมประพฤติไปบำเพ็ญประโยชน์ จะต้องมีการทำข้อตกลงร่วมกันระหว่างกรมคุมประพฤติและโรงพยาบาลเอาไว้ก่อน ซึ่งในกรณีดังกล่าว ยังไม่ถูกต้องสมบูรณ์ตามกระบวนการ”อธิบดีกรมคุมประพฤติ ขยายความ

น.ส.แพรวา พร้อมยื่นความประสงค์ที่จะขอทำงานบริการสังคมตามคำสั่งศาลที่เหลืออีก 48 ชั่วโมง แต่ขอทำที่รพ.พระมงกุฎเกล้า

แพรวาทำได้ เสียบรรทัดฐานทางสังคมหรือไม่?

ผู้สื่อข่าวถาม พ.ต.อ.ณรัชต์ อีกว่า “เมื่อ น.ส.แพรวา ทำเช่นนี้ได้ ผู้ถูกคุมประพฤติคนอื่นๆ ก็จะคิดว่าทำได้เช่นกัน จนทำลายบรรทัดฐานที่ควรจะเป็นหรือไม่?” อธิบดีกรมคุมประพฤติท่านนี้ตอบอย่างใจเย็นว่า หากกรมคุมประพฤติปล่อยปละละเลยในเรื่องนี้ไป ก็คงจะไม่ปรากฏเป็นข่าวตามสื่อต่างๆ เฉกเช่นทุกวันนี้ ดังนั้น ทางกรมคุมประพฤติจึงออกมาแสดงจุดยืนว่า สิ่งที่ น.ส.แพรวา กระทำลงไปเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง อีกทั้งในวันนี้ น.ส.แพรวา และบิดาได้เข้ามาแสดงความประสงค์ ว่า เธอพร้อมจะทำตามระบบระเบียบทุกประการ

“หากภายในภาคหน้าอาจมีผู้กระทำตามอำเภอใจ โดยอ้างว่าไม่ทราบถึงกฎระเบียบ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่เราไม่อยากให้เกิด แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ทำตามดุลพินิจของศาล ซึ่งเราก็เป็นเจ้าพนักงานองค์กรหนึ่ง ซึ่งในกฎหมายไม่ได้ใช้คำว่า เจ้าพนักงานคุมประพฤติด้วยซ้ำ แต่เป็นไปในลักษณะเจ้าพนักงานที่ศาลมอบหมายหรือให้อำนาจ” อธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าว

ก่อนจะส่งตัวผู้ถูกคุมประพฤติไปบำเพ็ญประโยชน์ จะต้องมีการทำข้อตกลงร่วมกันระหว่างกรมคุมประพฤติและโรงพยาบาลไว้ก่อน ซึ่งในกรณีดังกล่าว ยังไม่ถูกต้องสมบูรณ์ตามกระบวนการ

แพรวา เก่ง เรียน 3 ปี จบป.ตรี

ส่วนกรณีที่มี คุณฉันท์ชนก เจียมเจริญ พนักงานควบคุมประพฤติ เข้ามาดูการปฏิบัติงานของ น.ส.แพรวา นั้น พ.ต.อ.ดร.ณรัชต์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่คุมประพฤติท่านดังกล่าว ไม่ได้ถึงขั้นเข้าไปควบคุมในช่วงที่ น.ส.แพรวาทำงานบริการ แต่เป็นช่วงที่กรมคุมประพฤติ ประสานงานให้ น.ส.แพรวา ทำตามกระบวนการให้ถูกต้อง แต่อาจเกิดการติดต่อสื่อสารผิดพลาด จึงเกิดความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน

อย่างไรก็ตาม พ.ต.อ.ดร.ณรัชต์ อธิบดีกรมคุมประพฤติ ได้ให้ข้อมูลว่า น.ส.แพรวา สามารถเรียนจบชั้นปริญญาตรีโดยใช้ระยะเวลา 3 ปีเท่านั้น พร้อมทำตามเงื่อนไขศาลที่ระบุว่า ผู้ถูกคุมประพฤติห้ามข้องเกี่ยวกับยาเสพติด, ห้ามขับรถจนอายุ 25 ปี, ห้ามเที่ยวเตร่สถานเริงรมย์, ไปเรียนหนังสือ และที่ผ่านมา น.ส.แพรวา ได้มารายงานตัวครบตามกำหนดทุกครั้ง

และนี่คือความคืบหน้าล่าสุด ในคดีที่เป็นที่โจษจันกล่าวขวัญถึงมากที่สุดในประเทศไทยคดีหนึ่ง ส่วนหลังจากนี้ ผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว จะยินยอมปฏิบัติดั่งที่ให้คำมั่นสัญญากับคุมประพฤติหรือไม่นั้น ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ เชื่อเหลือเกินว่า สังคมกำลังคอยจับจ้องอยู่ และหากท่านใดมีข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องนี้ สามารถติดต่อให้ข้อมูลกับทีมข่าวเราได้ที่.....