ศัลยกรรมทำคนดูดีจิงหรือ เหมือนเกิดใหม่! ถูกล้อหน้าเอเลี่ยน ชีวิตสุดดราม่า เจษ เจษฎา เศร้าเกินบรรยาย

ศัลยกรรมหน้าใหม่จนหลายคนต้องกรี๊ดอ้าปากค้างกันอีกครั้งกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของชายหนุ่มคนเดียวในรายการศัลยกรรมดัง ไทยรัฐออนไลน์ มีโอกาสได้เจอตัวจริงของเขาคนนี้ไม่พลาดขอทำความรู้จักและเปิดใจกับชีวิตใหม่หลังศัลยกรรม...

เจอหน้ากันเราไม่ได้ตะลึงกับความหล่อของเขา แต่เมื่อเปิดดูรูปก่อนศัลยกรรมบอกเลยว่าเปลี่ยนแปลงไปเยอะเหลือเกิน สำหรับหนุ่มปราจีนบุรี "เจษ-เจษฎา แกนเปะ" อายุ 29 ปี เขาเกิดในครอบครัวฐานะปานกลาง คุณพ่อมีอาชีพรับราชการบำนาญ คุณแม่เป็นแม่บ้าน ส่วนตัวของเจษนั้นทำงานบริษัท ด้านการศึกษา ปวช.สายช่างซ่อม ปัจจุบันกำลังทำงานเป็นพนักงานบริษัทเกี่ยวกับตัวจุถุงลมนิรภัยรถยนต์ 

โชคชะตาส่งให้เข้าร่วมรายการศัลยกรรม

เจษ เล่าว่า เหมือนโชคชะตา บังเอิญไปเปิดทีวีไปเห็นรับสมัครที่บ้านเราครั้งแรก แฟนผมก็เลยพูดแหย่ๆ เล่นๆกับเราว่าไปสมัครสิ อาจจะได้เพราะเราก็มีเค้าโครงใบหน้าผิดปกติอยู่นะ ซึ่งตอนนั้นเราก็พูดเล่นๆ ตอบแฟนไปว่า ไม่จำเป็นจะไปทำไม เรามีครอบครัวอยู่แล้ว มีลูกแล้ว จะไปใส่ใจทำไมเรื่องของหน้าตา

เจษ-เจษฎา แกนเปะ

แอบส่งใบสมัครลับหลังแฟน จนมีวันนี้

เจษ บอกกับเราว่าต่อว่า หลังจากวันที่เห็นโฆษณา ลับหลังแฟนไปทำงานอยู่บ้านเขาก็แอบไปถ่ายรูป ส่งโปรไฟล์ไป ตอนนั้นก็ไม่กล้าบอกใครเลยรวมถึงพ่อแม่ด้วย พอส่งไปประมาณสักสองเดือนยังเงียบไป แต่เราก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะเราไม่ได้คิดว่าจะได้เข้าหรือไม่ได้เข้า เรากะส่งไปเฉยๆ มันเป็นโอกาสเราก็ต้องคว้าโอกาสไว้ก่อน หลังจากนั้นเขาก็ติดต่อกลับมาว่าให้มาสมัครที่หน้าเวิร์คพอยท์ หลังจากที่เราบอกแฟนว่าคนติดต่อกลับมา ก็งงๆ ว่าไหนบอกว่าไม่ไป ไปตอนไหน คุยกันอยู่นานก็ตัดสินใจลางานไปกรุงเทพฯ

เดินถอยหลัง เพราะเห็นคนอื่นเป็นหนักกว่า

พอเจษมาถึงเห็นคนที่มาสมัครเป็นเยอะกว่า เราเป็นแค่ส่วนน้อยที่เขาเป็น บางคนมีหลายส่วนที่มีปัญหามากกว่าเราก็เลยเดินออกมาเลย แฟนก็ถามว่าจะไปไหน เราก็บอกว่ากลับเหอะ คนที่เขาเป็นเยอะกว่าเราก็มีเยอะแยะให้โอกาสคนอื่นดีกว่า แฟนก็บอกว่านี่อาจจะเป็นดวงของเราที่จะได้ทำก็ได้ ลองดูไหนๆ ก็ลางานมาแล้ว เราก็เดินย้อนกลับไปสมัครอีกที

พอสมัครวันนั้นเราก็เข้ารอบมาเรื่อยๆ ตอนนั้นใจเราก็คิดว่าจะตกรอบเมื่อไหร่ คนที่เข้ารอบก็มีแต่เคสหนักๆ ทั้งนั้น พอกลับมามองตัวเองก็คิดว่าไม่เท่าไหร่ เรามีปัญหาแค่ตรงนี้แต่คนอื่นมีปัญหาเยอะกว่าเรา อนาคตเขาอาจจะไปไกลก็เราเพราะเราก็มีครอบครัวแล้ว แต่ในที่สุดเราก็เข้ารอบมาเรื่อยๆ จนมาถึงรอบ 20 คนสุดท้ายที่ต้องไปอัด VTR ที่บ้าน ก็เลยโทรปรึกษาแฟนว่าจะเอายังไง เขาถามความสมัครใจว่าถ้ามาสัมภาษณ์ที่บ้านจะสะดวกมั้ย แฟนก็บอกว่าแล้วแต่ ถ้ามันเป็นโอกาสแล้วก็ต้องคว้าไว้ เราก็เลยคิดว่าลองดูสักครั้งเผื่อมันเป็นดวงของเรา จังหวะของเรา ความฝันของเราที่จะได้ทำ ก็เลยตัดสินใจให้เขามาถ่ายทำ VTR ที่บ้าน

ปัญหาชีวิตกับการมีใบหน้าผิดรูป

เจษบอกกับเราว่า ปัญหาหลักๆ ในการใช้ชีวิตก็เป็นเรื่องของขากรรไกรของเขาที่ยาวกว่าปกติ เวลากินข้าวก็จะไปกัดโดนตรงกระพุ้งแก้ม ทำปากเป็นแผล กินข้าวไม่อร่อย เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด เคี้ยวฟันหน้าไม่ได้ต้องอาศัยขากรรไกรทั้งสองข้างในการเคี้ยวอาหาร เวลากินก๋วยเตี๋ยวตัดเส้นก๋วยเตี๋ยวก็กัดไม่ได้ต้องใช้ลิ้นแทนฟันล่างเพื่อจะได้ตัดเส้นได้ ซึ่งเราก็ต้องใช้ชีวิตยากเหมือนกัน แต่ก็พยายามที่จะกินให้ได้ เพราแฟนเราชอบกินก๋วยเตี๋ยวด้วย 

โดนล้อมาทั้งชีวิต เอเลี่ยน ปลาคาร์ฟ ระวังคางเฉาะหัวเพื่อน!

เจษเล่าถึงปัญหาต่อว่า ตั้งแต่สมัยเด็กๆ ช่วงอายุ 15-16 เราไปเรียนก็มีคนล้อ “ระวังคางทิ่มหลังเพื่อนนะ” “ขับรถซ้อนท้ายกันก็โดนล้อว่าระวังไปเฉาะหัวเขานะ” ตอนนั้นเราก็รู้สึกเครียดเหมือนกันเพราะโดนล้อบ่อยๆ ความอดทนของเราก็มีขีดกำจัดเหมือนกัน อาจจะมีด่ากันบ้าง ทะเลาะกันบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดาของเด็กๆ อยู่แล้ว พอโดนล้อไปเยอะๆ เข้าก็ชิน กลายเป็นเรื่องที่ต้องทำใจเหมือนกัน เราก็ลองหาวิธีที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องการมีใบหน้าที่ผิดรูปแบบนี้เหมือนกัน พอดีเราเห็นเพื่อนแม่พาลูกเขาไปทำมาแล้วก็ใช้เงินไม่เยอะเท่าไหร่ เราก็อยากลองบ้างถ้ามันจะรักษาได้ ในเมื่อใช้เงินไม่เยอะเท่าไหร่ เราก็ตัดสินใจว่าเรียนจบแค่ ปวช. อายุ 17 ก็ออกมาทำงานโรงงานดีกว่า เราจึงอยากเก็บเงินไปศัลยกรรมตรงส่วนนี้เอง ไม่อยากขอพ่อแม่เพราะมันเป็นปัญหาของเรา

พอไปทำงานก็ยังโดนล้อ แต่ครั้งนี้หนักกว่าเดิม “เอเลี่ยนไปไหนมาเนี่ย” พอตอนเช้าก็มี “สวัสดีชาวโลกเป็นไงบ้าง สบายดีไหม” เราก็ขำๆ กับเขา แต่ในใจก็รู้สึกเจ็บ จนในที่สุดก็ตัดสินใจลาออกจากงาน 

ก่อน - หลัง

หน้าตาไม่ใช่อุปสรรคความรักของเจษ

อยากรู้ว่าหน้าตาเป็นอุปสรรคต่อความรักมั้ย เขาตอบเราว่า มาทำงานที่ใหม่ 3-4 ปี เราได้พบรักในที่ทำงาน เจอแฟนครั้งแรกในชุดทำงานคือเราต้องใส่ชุดเหมือนคล้ายๆชุดอวกาศที่เห็นแค่ตา เจอกันครั้งแรกเราเห็นแค่ตาสองตา พอออกมาข้างนอกก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เราคุยกันประมาณ 4 เดือน โดยที่ไม่ได้เห็นหน้าคุยกันแบบผ่านชุดที่เห็นแค่ตา แต่พอคุยด้วยแล้วรู้สึกถูกคอถูกใจ เราก็เลยนัดเจอกัน แรกๆ เราก็กลัวว่าเขาจะรับหน้าตาเราได้มั้ย แต่พอมาเจอกันเขาก็เฉยๆ คุยกันปกติ เราไม่ได้คบกันที่หน้าตา คบกันมาเรื่อยๆ จนแต่งงานมีลูก

ผู้ชายคนเดียวกับการใช้ชีวิตในเกาหลี 3 เดือน

พอมาถึงรอบแบทเทิลก็ได้คุยกับน้องแบ็งค์คู่แบทเทิลคุยกันเล่นๆ ว่า มีผู้ชายสองคนยังไงก็ต้องได้ไปศัลยกรรมที่เกาหลีทั้งคู่ หรือไม่ก็ตกรอบทั้งคู่ไป ยังไงเขาก็คงไม่เอาผู้ชายคนเดียวไปเกาหลี อาจจะเอาเรามาร่วมรายการเพื่อมาสร้างสีสัน ซึ่งเราก็ไม่ได้คิดเหมือนกันว่าจะได้ไปแค่คนๆ นึง ตอนนั้นเราก็คิดว่าจะไปอยู่ยังไงคนเดียวที่เกาหลีกับผู้หญิงอีกหลายๆ คน พอพิธีกรประกาศว่าต้องเลือกหนึ่งในสองคนนี้ เราก็หันมามองหน้ากัน พยักหน้าทำใจ ไม่ใครก็ใครต้องไป ต่างคนก็ต่างยินดี

วินาทีที่รู้ว่าตัวเองจะได้ไปศัลยกรรมเกาหลีรู้สึกยังไง? ตอนแรกคิดเยอะเหมือนกันกับการที่เราเป็นผู้ชายคนเดียวต้องไปอยู่กับผู้หญิงหลายๆ คน คนดูแลก็เป็นผู้หญิงอีกด้วย กลายเป็นว่าผู้หญิง 12 คน และมีเราเป็นผู้ชายคนเดียว จะไปอยู่ยังไง ใช้ชีวิตยังไง อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเราจะไปทำยังไง เราไม่เคยอยู่กับผู้หญิงเยอะขนาดนั้น แต่พอไปถึงเกาหลีปุ๊บ ก็มีการแบ่งสัดส่วนกัน แบ่งให้เราอยู่คนเดียวเลยเพราะเราเป็นผู้ชายคนเดียว เราก็โอเค อยู่ยังไงก็ได้ เราเป็นคนง่ายๆ อยู่แล้ว

เราต้องไปอยู่เกาหลี 3 เดือน พอไปอยู่ที่นู้นปุ๊บเราก็กลายเห็นคนโตสุดอีก อายุมากสุด ก็เลยต้องดูแลน้องผู้หญิงทุกคน คนดูแลก็ฝากเราดูน้องๆ ถ้าใครออกนอกลู่นอกทางก็เตือนๆ เขา เราก็คิดหนักเพราะเขาไม่ใช่ญาติพี่น้องเราจะไปเตือนเขายังไง แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ทุกคนก็โตๆ กันแล้ว

เจษคนเดิมเพิ่มเติมคือหล่อขึ้น

เตรียมความพร้อมก่อนเปลี่ยนชีวิตครั้งใหญ่

ก่อนเข้าผ่าตัด คุณหมอก็พาไปเอกซเรย์ ไปเช็กความพร้อมอีกรอบก่อนผ่าตัดว่าร่างกายเราพร้อมแค่ไหน แล้วเรายอมรับได้มั้ยถ้ามันออกมาไม่ได้ดั่งใจเรา ผมก็บอกว่าที่ผมมาถึงตรงนี้ ผมไม่ได้ต้องการหล่อ ไม่ต้องการเพอร์เฟกต์ ไม่ได้ต้องการหน้าเหมือนเกาหลีเลย แค่มารักษาสิ่งที่เป็นเหมือนความฝันให้เราได้ใช้ชีวิตแบบปกติมากกว่า เขาบอกว่างั้นก็เซ็นยินยอมให้คุณหมอได้สบายใจหน่อยแล้วกันว่า ถ้าเกิดผิดพลาดอะไรเรายอมรับตรงนี้ ผมก็มั่นใจในฝีมือเพราะเราไปถึงที่นู้นแล้ว เราก็เซ็นยอมรับไป โดยใช้เวลากว่า 7 ชั่วโมงด้วยกันในห้องผ่าตัด ปรับขากรรไกรทั้งบนและล่างให้สมดุลกัน เพื่อให้การสบฟันปกติและแก้ไขเปลือกตาให้าดูโตขึ้น โดยใช้เวลากว่า 7 ชั่วโมงด้วยกันในห้องผ่าตัด  

รู้สึกมั่นใจขึ้น

ศัลยกรรมเพื่อครอบครัว ทำทุกอย่างเพื่อลูก

ตอนนี้ศัลยกรรมมาได้ 5 เดือน ช่วงแรกๆ เราก็กังวลว่าลูกคนเล็กจะจำเราได้มั้ย ก่อนแฟนก็บอกกับเราแล้วว่าทำแล้วก็ไม่ต้องทำเยอะเดี๋ยวลูกจำไม่ได้ ถ้าเกิดเราทำเยอะมาลูกจำไม่ได้จะต้องทำยังไง แต่พอเรากลับมาลูกก็ยังจำเราได้ จำเสียงจำอะไรได้ มันก็ทำให้เราสบายใจถึงเราทำมาลูกก็ยังจำได้ ส่วนคนที่ทำงานตอนวันแรกหลังจากศัลยกรรมแล้วไปทำงาน เราก็แกล้งเดินคนเดียวไม่เดินกับแฟนก่อนว่าจะมีคนจำเราได้มั้ย แต่ตาเรายังเหมือนเดิม คนก็มองว่าใช่มั้ย ใช่เจษมั้ย เพื่อนที่ทำงานก็บอกว่าดูดีขึ้นนะ ผลตอบรับจากคนรอบข้างก็ดี คนก็เข้ามาคุยกับเราเยอะขึ้น รู้สึกดีขึ้น ส่วนเรื่องการกินเราก็ต้องปรับตัว เพราะเมื่อขากรรไกรเข้าไปข้างในเราก็ต้องเปลี่ยนการกินใหม่ การพูดใหม่ การสะกดคำใหม่ ช่วงนี้ก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะคุณหมอบอกว่าใช้ระยะเวลาหนึ่งปีถึงจะเข้าที่

ตอนนี้ก็เริ่มคุ้นกับหน้าใหม่แล้ว ตื่นมาไม่ตกใจ ล่าสุดเราก็ไปเที่ยวกัน ไปถ่ายรูปเราก็แย่งขอถ่ายรูปกับลูกก่อนเลย แฟนก็บอกว่ารู้สึกดีนะที่เรากล้าถ่ายรูปมากขึ้น ก่อนหน้านี้เราไม่ถ่ายรูปกับครอบครัวเลย เพราะอาย กลัวคนอื่นมองแปลกๆ เราสูญเสียความมั่นใจมาก ปกติเราจะเป็นตากล้องให้แฟนกับลูกมากกว่า

กำลังใจคนรอบข้างสำคัญที่สุด

ก่อนจากกันเจษยังฝากถึงคนรอบข้างอีกว่า คนที่จะเป็นกำลังใจที่ดีที่สุดสำหรับคนที่เกิดปัญหา ไม่ว่าจะเรื่องหน้าตาหรือเรื่องอะไรก็ตาม คนรอบข้างคือกำลังใจที่ดีที่สุด เพราว่าเขาได้เห็นเราเป็นแบบไหน เขาได้รู้ว่าเราใช้ชีวิตลำบากแค่ไหน อย่าไปล้อเขาเลยเพราะการใช้ชีวิตประจำวันของพวกเขาที่เป็นอยู่มันไม่ได้ง่ายเลย ไม่ว่าจะเป็นการเดินตลาด การไปเที่ยว การกิน การดูแลตัวเอง คือมันยากกว่าคนอื่นอยู่แล้ว ยิ่งคุณไปตั้งฉายา ไปเรียกเขาว่าเหมือนนู้นนี่ คุณไม่ต้องเสียเวลาไปปวดหัวกับเรื่องพวกนั้น แค่คุณเข้าใจว่า เขาก็เป็นคนคนนึงที่ใช้ชีวิตเหมือนกับเรา เจอเขาคุณก็ทำเป็นปกติไป เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ก็อยากจะฝากตรงนี้ไว้ว่ากำลังใจของคนรอบข้างสำคัญที่สุด